จิ๊กซอว์ที่ต่อไม่ติด
เคยได้อ่านถ้อยความที่ใครบางคนบอกไว้ว่า การที่ยังเป็นโสดนั้น เกิดเพราะความคิดสองแบบหลักๆ
แบบแรกคือ การขาดความรักความเชื่อมั่นในตนเอง การรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรค่าแก่ความรักดีดี พอชอบพอใครเข้าก็จะรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าเขาไปหมด
แบบที่สองคือ การหลงตัวเองมากเกินไป คิดว่าตัวเองเพอร์เฟคทุกอย่าง ก็เลยไม่มองใครด้วยคิดว่าเขาต่ำต้อยไม่คู่ควรกับตัวเอง
วิธีคิดอาจต่างกัน แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน คือโสด
...โสดนี่ยังดีหนา แย่กว่านั้นคือไพล่ไปเลือกคนที่ไม่สมควรจะรัก สำหรับกรณีแรกเพราะคิดว่าตัวเองแย่เลยเลือกคนแย่ๆมา ส่วนกรณีหลังเพราะดันไปถูกใจคน(คุณสมบัติ)เพอร์เฟค ที่นิสัยไม่ดี
อันนี้แย่กว่า
แต่เอาล่ะ เราจะไม่กล่าวถึงกรณีหลังเพราะวันนี้เราตั้งใจจะกล่าวถึงการโสดอย่างเดียว ส่วนเรื่องหลังค่อยมาวิพากษ์กันใหม่ในโอกาสหน้า
นี่คือสาเหตุหลักสองประการที่ทำให้โสด อันมีต้นเหตุมาจากความคิด...ตามที่เขาอ้างๆกัน
แต่ จริงๆแล้วน่ะ ความคิดที่ทำให้หาคู่ยากยังมีอีกแบบหนึ่งนะ นั่นก็คือ...
แบบที่สาม
จะตั้งชื่อว่าอะไรดีล่ะ เอาเป็นว่า มันเป็นความคิดที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความคิดแบบแรกกับแบบที่สอง
คือ เราไม่ได้มองตัวเองว่าย่ำแย่หรือต่ำต้อย เรายังคงเคารพและเห็นคุณค่าของตัวเองอยู่ไม่น้อย เผลอๆเรายังหลงตัวเองเบาๆด้วย เช่น ฉันเก่งนะที่สามารถดูดวงได้ เล่นเกมอะไรก็ผ่าน...เกรียนก็เงี้ยย 555 เป็นต้น
ดังนั้นเราจึงไม่ได้เกลียดตัวเอง ตรงกันข้าม เราค่อนข้างจะรักและพะเน้าพะนอตัวเองอยู่มากทีเดียว
แต่เราก็ไม่ได้หลงตัวเองจนเวอร์วัง เรายอมรับว่าเราไม่ได้ดีเลิศและยังคงมีข้อเสียมากมาย เช่นว่า เราไม่กล้าแสดงออก เราเข้าสังคมไม่เก่ง เราเรื่องมาก บลาบลาบลา
เรายอมรับว่าตัวเองมีดี แต่ขณะเดียวกันเราก็ยอมรับว่าตัวเองมีความเลวร้ายอยู่บ้างตามวิสัยของปุถุชนธรรมดา
แล้วปัญหาที่ทำให้หาคนข้างๆยากอยู่ตรงไหนอ่ะเหรอ?
อยู่ตรงที่ แม้เราจะรักตัวเองในระดับหนึ่งและยินดีที่จะใช้ชีวิตอยู่กับคนในกระจกไปตลอดชีวิตโดยไม่อินังขังขอบ
แต่ด้วยความเป็นตัวของตัวเองมากจนไม่คิดว่าจะมีใครยินดีปรีดากับความเป็นตัวเองของเราได้...นอกจากตัวเรา และด้วยข้อเสียที่มีไม่น้อยจนคิดไปว่าคงมีแค่เราที่ทนมันได้ ทำให้เรารู้สึกว่า นอกจากตัวเราเองแล้วเนี่ย
คงไม่มีหน้าไหน ยินดีที่จะรักและอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
...เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ...
จริงๆแล้วน่ะ มันก็มีนะ ที่เราตัดใครออกไปจากการเข้าชิงตำแหน่งคนรักด้วยเหตุผลที่ว่า เขาอยู่สูง...หรือต่ำ กว่าเรามากเกินไป
มันมี ไม่ใช่ไม่มี
แต่ส่วนใหญ่แล้วน่ะ ที่ไม่เข้าตาทั้งหลาย มักจะมีสาเหตุประมาณว่า
- ไลฟ์สไตล์ต่างกันเกินไป
- เคมีไม่ค่อยเข้ากัน
- (อันนี้สำหรับพวกดูดวงเป็น มีความเกรียนเล็กน้อยถึงปานกลาง) ราศีเป็นทุสถานภพซึ่งกันและกัน หรือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อยู่ด้วยกันไม่น่าจะดี
- และอื่นๆอีกมากมาย
เป็นอันว่า ร้อยละร้อยของคนที่เข้ามาในชีวิตถูกผลักออกไปด้วยเหตุผลว่า
"เราไม่พอดีกัน"
ในทางวิทยาศาสตร์ ความรักไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาหรือพรหมลิขิต แต่เป็นเรื่องของสารเคมีในสมอง ที่หลั่งฮอร์โมนออกมาเวลาเจอใครบางคน อันทำให้เรารู้สึกหรือทำตัวแปลกๆ ซึ่งอาจกลายเป็นความรักและเป็นจุดเริ่มต้นของความผูกพันได้โดยอนุโลม
(รายละเอียดอื่นไปตามจากเพจ theory of love ในเฟสบุ๊คกันเองเน่อ)
เราไม่เถียงหรอก เราก็เรียนวิทยาศาสตร์มา
ใช่ เรายอมรับ ว่าความประทับใจแรกเห็นที่ใครหลายๆคนชอบตู่ว่าเป็นรักแรกพบน่ะ มันเกิดขึ้นได้จริงๆ
....แต่ ความประทับใจแรกพบที่ทำให้หลงใหลอยู่ไกลๆ กับการเข้ามาเป็นคนใกล้ๆ มันคนละเรื่องกัน
คนที่มีความคิดประเภทสามที่ว่าก็มีหัวจิตหัวใจพอจะยอมรับว่าตัวเองเคยมองใครแล้วแอบปลื้มอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพียงแต่เราไม่เคยเอาอารมณ์ตรงนั้นมาก่อร่างสร้างความรักโดยทิ้งปัจจัยแวดล้อมอื่นๆไป
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีหน้าตาชวนหลงใหลสักเพียงใด หากลองคุย ลองคบหาไปสักระยะหนึ่งแล้วพบว่า ไม่น่าจะเข้ากันได้(ไม่น่าจะทนเราได้)
.......เราก็ตัดทิ้ง ตัดความน่าจะเป็นที่จะรักน่ะนะ ไม่ได้ตัดหัวใคร.......
ใครบางคนอาจจะคิดว่า คนประเภทนี้คงมีแค่คนที่หน้าตาไม่น่าพิศมััย ไม่มีใครเอา แล้วจึงเอาเหตุผลร้อยแปดมาอ้างเพื่อหาความชอบธรรมในการโสดของตัวเอง
มันก็จริง แค่ส่วนหนึ่ง
แต่เท่าที่สังเกต มีหลายคนนะที่เป็นแบบนี้และอยู่เป็นโสดทั้งๆที่หน้าตาดี แต่ไม่ได้คบใคร ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น
ใครบางคนอาจจะบอกว่า เพราะยังไม่เจอคนที่รักจริงๆน่ะซี หากเจอจะไม่คิดแบบนี้หรอก
นั่นแหละประเด็น!!
ก็ยังไม่เจอไงล่ะ แล้วคนที่มีความคิดแบบนี้ได้น่ะใจแข็ง เราไม่รักใครง่ายๆดอก
แถมคนที่จะมารักเราง่ายๆก็ไม่มีเหมือนกัน...
มันไม่ใช่การหลงว่าตัวเองเลิศเลอหรือกดตัวเองให้ต่ำต้อย เราแค่ไม่คิดว่าจะมีใครรักในข้อดีของเรามากพอที่จะทนกับข้อเสียของเราได้
ก็แค่นั้น
หากจะเปรียบพวกเราเป็นอะไรสักอย่างแล้วล่ะก็ พวกเราคงไม่ต่างจาก...
จิ๊กซอว์ สักตัว ซึ่งมีเหลี่ยมมุมมากเหลือเกิน มากจนไม่มีจิ๊กซอว์ตัวไหนสามารถมาต่อกับมันได้ติดสนิท
จิ๊กซอว์ ที่พอใจจะอยู่ตามลำพัง เรียนรู้ที่จะกางองศาของตัวเอง ให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องติดกับจิ๊กซอว์ชิ้นอื่นได้
คิดอีกที จิ๊กซอว์ที่อยู่โดดๆ ก็คงเปรียบได้กับภาพวาดติดผนัง ที่แม้จะต้องอยู่โดดเดี่ยว แต่ก็งดงาม และมีคุณค่าในตัวของมันเอง
คนที่เป็นตัวของตัวเองและไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะมีใคร ก็คงไม่ต่างอะไรกับจิ๊กซอว์ตัวนั้น อาจเหงาบ้าง ว้าเหว่บ้างเป็นบางคราว
แต่เราก็แกร่งพอที่จะยืนหยัดอยู่บนลำแข้งตัวเองตามลำพังได้อย่างสง่างาม
ถ้าถามว่า จะมีวันที่เรามีความรัก มีคนอยู่ข้างๆ เป็นจิ๊กซอว์อีกตัวที่มาต่อกับเราติดได้หรือเปล่า
เราไม่ทราบ และไม่เก่งกล้าขนาดคิดหาคำตอบ
แต่ ณ วันนี้ นาทีนี้ เรายังคงเป็นจิ๊กซอว์ที่ไม่สามารถต่อกับใครได้ติด และยังคงยินดีที่จะใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ตามแนวทางของเรา
รักจะเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อไม่ติด ก็ต้องคิดอยู่คนเดียวให้ได้
ชีวิตมันก็มีแค่นี้แหละ ;)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น