ความเอาเปรียบผู้บริโภคของธุรกิจส่งของ

 


                    สวัสดีค่ะ คุณผู้อ่าน 

                    ตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีธุรกิจหนึ่งที่ได้รับความนิยมขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด นั่นคือ ธุรกิจขนส่งในลักษณะต่างๆ อาทิเช่น ส่งอาหารหรือสินค้าหลายคนเรียกว่า "เดลิเวอรื่" ซึ่งเขาเหล่านี้จะเป็นตัวกลางระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภค แทนที่เราจะต้องออกจากบ้านไปซื้อสิ่งต่างๆเอง เราก็แค่สั่ง แล้ว "เขา" ก็จะมาส่งอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าต่างๆ ถึงหน้าประตูบ้าน มองจากมุมนี้จะเห็นว่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคอย่างเราๆเป็นอันมาก ปัจจุบันนี้แบรนด์ที่ทำธุรกิจพวกนี้ก็เช่น Grab, Lineman, Robinhood อะไรแบบนี้ และเราก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของ "เขา" เหล่านี้ด้วยเช่นกัน

                    แต่แล้วพอมาสังเกตอะไรๆ เราเริ่มรู้สึกว่า ธุรกิจนี้มันมีความ "เอาเปรียบ" ผู้บริโภคอยู่เหมือนกัน ที่เห็นและมาเขียนวันนี้ มีสองข้อด้วยกัน



                    1. ส่วนต่างราคาที่เพิ่มเข้ามา

                    จริงๆรู้สึกมาสักพักแล้วแหละ ตั้งกะตอนเริ่มโหลดแอพฯของบริษัทพวกนี้ลงเครื่อง พอเริ่มไถๆดูและละร้านแล้วก็แบบ เออราคาแพงแฮะ วันดีคืนดีนึกครื้มอกครื้มใจ ก็เอาชื่อร้านในแอพฯอ่ะ ค้นกูเกิ้ล แล้วเอาราคาอาหาร/เครื่องดื่ม ในเว็บไซต์ของร้านไปเทียบกับในแอพฯ 

                    ไม่ต้องเดา หลายกรณี ในแอพฯแพงกว่า 

                    ทีนี้ อยู่มาวันหนึ่ง กินข้าวกับเพื่อนร่วมงาน น้องเขาก็สั่งร้านๆหนึ่ง ราคาข้าวผัดปู 109 บาท ตอนนั่งกินข้าวคุยกันเราก็แบบ เออร้านนี้ราคาแพงเนอะ ละก็มีน้องคนนึงเขาบอกว่าเขาเคยไปกินร้านนี้แหละ ไปกินที่ร้านเลย

                    เรา : แล้วราคา "ข้าวผัดปู" นี่มันแพงขนาดนี้เลยเหรอคะ

                    น้อง : ไม่ครับพี่ กินหน้าร้านประมาณ 60-70 บาท เองครับ

                    เราเคยไปซื้อน้ำชาจากร้านอีกร้านนึงเหมือนกัน เห็นว่าชาแก้วที่เรากินเนี่ย ที่ร้าน 35 ส่วนในแอพฯ รู้สึกจะ 39 

                    ละต้องไม่ลืมว่า อีราคาที่บวกเพิ่มเนี่ย ยังไม่รวมค่าส่งนะคะ ค่าส่งอีกต่างหากด้วย 

                    พอเจอบ่อยเข้าเลยแอบตั้งคำถามในใจว่า ทำไมเขาต้องบวกราคาเพิ่มขนาดนี้ แล้วอีส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นมาซึ่งผู้บริโภคต้องจ่ายนี่ สุดท้ายแล้ว มันไปอยู่ไหน? เข้ากระเป๋าใคร คนส่งรายย่อย หรือบริษัทเสือนอนกินเจ้าของธุรกิจ? 

                    โอเคล่ะ ข้อดีอย่างหนึ่งของพวกนี้คือเราไม่ต้องออกไปซื้อหาข้าวของด้วยตนเอง ที่บางที ค่าน้ำมันก็แพงกว่าค่าส่ง ซึ่งผู้บริโภคหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนมีสตางค์ทั้งหลายเขาก็ไม่รังเกียจที่จะจ่าย แต่ลองคิดถึงหัวอกคนธรรมดาๆดิ ค่าข้าวจาก 60 เป็น 109 อ่ะแก เกือบห้าสิบบาท ซื้ออะไรได้ตั้งหลายอย่างเลยนะ 

                    ...และพูดตามตรง ต่อให้มีปัญญาจ่ายค่าส่วนต่างโดยขนหน้าแข้งไม่ร่วง ก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคอย่างเราๆอยู่ดี 


                    2.กับดักส่วนลด 

                    อันนี้เจอกับตัวเองเมื่อกี้นี้เลย 

                    เรากดเข้าไปสั่งของจากร้านๆหนึ่ง สั่งของสามอย่าง ราคาเต็ม 165 ตอนกดดูและกำลังจะจ่าย เขาก็บอกว่า "เหลือ 155 บาท" เราก็เอ๊อดีจัง ว่าแล้วก็เข้าไปดูว่าตัวเองกรอกรายละเอียดที่อยู่ครบหรือยัง แล้วก็กดสั่ง ปรากฏว่า ตอนกดสั่ง มันขึ้นว่า

                    "ราคารวม 205 บาท" มีค่าส่ง 40 บาท เหตุที่ไม่ใช่ 155 บาท เพราะเราไม่ได้กดสั่งภายในเวลาที่กำหนด

                    เรานี่คือแบบ อะไรวะ เอาเปรียบชะมัด ลองคิดดูดิว่า มันจะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ถ้าคุณอยากได้ราคาเท่านี้ คุณต้องกดสั่งภายในเท่านั้นเท่านี้นาที ละนี่ขนาดเราไม่ใช่คนแก่ ไม่ใช่คนที่ไม่เก่งเทคโนโลยี ยังโดนแบบนี้ ลองคิดดูว่าถ้าเอาทริคนี้ไปใช้กับคนซื่อๆ คนที่เล่นมือถือไม่เก่งอ่ะ พวกเขาจะต้องเสียหายโดนจ่ายค่านั่นนี่เพิ่มกี่บาท 

                    แล้วถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริงอ่ะ คุณต้องบอกตั้งแต่กดเข้าร้านแล้วว่า มีส่วนลดนะแต่ต้องทำ 1 2 3 ภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้ ก็ว่ากันไป 

                    ไม่ใช่เพิ่มราคากะทันหันตอนกดสั่ง!!! แถมไม่อนุญาตให้ยกเลิกด้วย 

                    เอาเปรียบผู้บริโภค!!!

                    เฉลยก็ได้ เรื่องนี้เลยคือสาเหตุที่ทำให้เราเขียนบทความนี้ขึ้น นี่เราโมโหมากเลยนะบอกตามตรง ตอนนี้ยังโมโหอยู่เลยเนี่ย  


                    เราสนับสนุนให้คนทำธุรกิจ และเรายินดีจะอุดหนุนธุรกิจใดก็ตามที่ตรงจริตเรา แต่ในการประกอบธุรกิจ คุณต้องดำเนินการอย่างซื่อตรงและไม่เอาเปรียบผู้บริโภคจนเกินไป เอากำไรพอประมาณเป็นเรื่องเข้าใจได้ การทำธุรกิจถ้าเป็นนักบุญเกินไปประเดี๋ยวจะอยู่ไม่รอด แต่ก็ไม่ใช่หาทางตอดเล็กตอดน้อยเอากำไรทุกเรื่องจนเกินกว่าเหตุ การเอาความจำเป็นของคนยุคนี้ที่ต้องพึ่งธุรกิจคุณมาหากินแบบฟันเงินหน้าด้านๆ เป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำ

                    แล้วถ้าคุณจะเถียงว่ามันคือวิธีการทำมาหากินทั่วไป ถามกลับ ถ้าคุณไปอยู่ในประเทศที่กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเข้มแข็ง อยู่ในประเทศที่ถ้ามีใครร้องครั้งเดียวบริษัทล้มละลายได้ อยู่ในประเทศที่หน่วยงานดูแลทุกข์สุขของผู้บริโภคอย่างแข็งขันและบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณกล้าทำแบบไอ้สองข้อที่ว่ามั้ยล่ะ?

                    ถ้าไม่ แสดงว่าคุณรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ควร


                    จริงๆก็อยากจะโวยวายไปยังหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคด้วยนะ แต่ก็รู้อยู่ว่าโวยไปก็เท่านั้น ตื่นหรือยังก็ไม่รู้ หรือนอนเอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าอยู่ก็ไม่ทราบได้

                    ดันมาเกิดเป็นผู้บริโภค ณ ประเทศสารขัณฑ์ มันก็ต้องดูแลตัวเอง 


                    ถือซะว่าเราเขียนเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้คุณผู้อ่านทุกคนละกัน เชื่อว่าหลายคนยังคงต้องใช้บริการอะไรแบบนี้อยู่ ก่อนกดสั่งอะไร เช็คให้ดีๆล่ะ 

                    ส่วนไอ้ 40-50 บาท ที่เราเสียเพิ่มไปในวันนี้ คิดซะว่าทำบุญ ต่อแต่นี้แอพนี้(ขึ้นต้นด้วยG)จะไม่มีวันได้เงินจากเราอีก ลบแอพไปแล้วเรียบร้อย สบายใจ ลาก่อน 

                    แต่ไม่ได้เหวี่ยงคนส่งนะ คนส่งไม่ผิด ผิดที่คนคิดระบบ


                    สุดท้าย ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้ทั้งหลาย ถ้าคุณรู้สึกว่าเงินที่ได้มามันร้อน อยู่แปบๆก็ต้องออกไปอ่ะ ไม่แปลกหรอกนะ

                    เงินจากการกระทำไม่สุจริตเป็นเงินร้อน มันอยู่นิ่งๆไม่ได้ดอก 

                    ถ้ารวยแล้วจากการเอาเปรียบแบบนี้ จะเลิกอีกสองข้อข้างบนนี่ ก็จะอนุโมทนาสาธุเลยล่ะ 


                    สวัสดี

              

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คลังศัพท์ไว้ตั้งชื่อ

เราต่างเป็นกาลีในชีวิตใครบางคน

อีกมุมหนึ่งของความคิด จากเรื่อง สี่แผ่นดิน